การทำธุรกรรมอย่างขายฝากที่ดิน คอนโด บ้าน ในปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากเป็นช่องทางที่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและเอาไปต่อยอดกับธุรกิจต่าง ๆ ถ้าใครต้องการเงินใช้แบบเร่งด่วนก็ทำได้เลยทันทีแค่มีโฉนด แล้วหานายทุนขายฝากที่น่าเชื่อถือเพื่อนโฉนดไปขายฝากและแลกเป็นเงินก้อนมาลงทุน บทความนี้จะมาบอกถึงข้อควรรู้ก่อนหานายทุนว่ามีอะไรบ้าง
หานายทุนขายฝากอย่างไรให้เหมาะสม
หากต้องการหาหานายทุนขายฝากที่น่าเชื่อถือและไม่โกง จำเป็นต้องศึกษาอย่างละเอียดว่าผู้รับขายฝากหรือนายทุนคนไหนที่มีความเชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ ทุกวันนี้มีนักลงทุนอยู่หลายคนกำลังมองหาสินทรัพย์มาลงทุน แต่ละคนมีความชำนาญและประสบการณ์ที่ต่างกัน ดังนั้นต้องเลือกให้ดีเพื่อประโยชน์ต่อผู้ขายฝากทั้งหลายที่ประสงค์ได้เงินก้อนมาใช้ สิ่งสำคัญคือทุกขั้นตอนการดำเนินธุรกรรมจะเป็นไปตามข้อตกลงที่อยู่ภายใต้กฎหมาย ซึ่งถือเป็นการป้องกันอย่างหนึ่งไม่ให้ถูกโกงทั้งสองฝ่าย
ก่อนหานายทุนและทำการขายฝาก ต้องรู้อะไรก่อนบ้าง
การขายฝากจะมีทั้งขายฝากบ้าน ที่ดิน คอนโด ทั้งสามสิ่งนี้จะเป็นการนำเอาโฉนดมาค้ำประกันให้กับผู้รับซื้อฝาก ซึ่งก่อนหานายทุนขายฝากแล้วทำธุรกรรมขายฝากนั้น จะมีสิ่งที่ต้องรู้ก่อนเพื่อให้สามารถดำเนินการอย่างถูกต้อง โดยสามารถกล่าวได้ดังนี้
- สัญญาการขายฝาก คือข้อตกลงร่วมกันของผู้ซื้อฝากและผู้ขายฝากว่าระหว่างที่ทรัพย์สินอยู่ในช่วงสัญญา ผู้ที่ขายฝากและผู้ซื้อฝากมีสิทธิ์อะไรบ้าง ตามกฎหมายแล้วระยะเวลาไถ่ทอนทรัพย์สินจะไม่มากไปกว่า 10 ปี
- ดอกเบี้ย โดยจะมีการกำหนดดอกเบี้ยและการจ่ายต่อเดือนหรือต่อปีไม่เหมือนกัน หากใช้กฎหมายในการกำหนด ดอกเบี้ยต่อปีต้องไม่มากกว่า 15 เปอร์เซ็นต์
- บริษัทขายฝากต้องให้บริการที่ดี ถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก หากเจอนายทุนนอกระบบก็จะทำให้ผู้ขายฝากเกิดความลำบากแล้วต้องเสียทรัพย์ไปโดยไม่ได้อะไรกลับมาเลย
- วงเงิน ซึ่งจะถามจำนวนเงินที่ได้เมื่อขายฝากให้ชัดเจนว่าได้เท่าไหร่ ราคาซื้อขายคิดจากกรมธนารักษ์หรือตลาด ถ้าเทียบราคาแล้วก็ทำข้อตกลงกันทั้งสองฝ่ายให้ชัดเจน เนื่องจากนายทุนนอกระบบส่วนมากใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อกดวงเงิน
- ค่าใช้จ่าย จะต้องเสียอยู่แล้วเพราะทุกครั้งที่ทำธุรกรรมก็จำเป็นต้องเสียค่าธรรมเนียม โดยตกลงกันให้แน่ชัดว่าใครต้องจ่าย
จะเห็นได้จากข้อมูลข้างต้นนี้ทำให้ได้มีความรู้เกี่ยวกับการดำเนินการขายฝากมากขึ้นก่อนตัดสินใจหานายทุนขายฝากเพื่อทำธุรกรรม หากอยู่ภายใต้กฎหมายก็จะสามารถวางใจได้และไม่เป็นอันตรายต่อคู่สัญญา เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาก็สามารถดำเนินคดีได้เลย
